Work and Travel USA
โครงการ เวิร์ค แอนด์ ทราเวล
น้องเหมียว ญาดา (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
|
ฉันชื่อ ญาดา วัดอุดม (เหมียว) อายุ 21 ปี ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ภาคภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ผ่านมาได้แต่อ่านเรื่องของเพื่อนๆ นักศึกษา นักเรียนที่เขียนเล่าประสบการณ์ที่ได้เรียนและฝึกงานยังต่างประเทศลงใน “คส.คส.” อยู่บ่อยๆ หนูจึงเกิดแรงบันดาลใจอยากนำเรื่องของตัวเองมาเล่าสู่กันฟังบ้างค่ะ
ปิดเทอมใหญ่ เม.ย. 58 ที่ผ่านมาฉันได้มีโอกาสร่วมโครงการ Work and Travel USA กับบริษัท อเมริกัน เลิร์นนิ่ง จำกัด ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอุดมศึกษาที่ต้องการใช้เวลาช่วงปิดเทอมภาคฤดร้อน (Summer) ให้เป็นประโยชน์ โดยการทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกา ในระยะเวลา 3 เดือน เพื่อหาประสบการณ์และเปลี่ยนวัฒนธรรมกับผู้เข้าร่วมโครงการจากทั่วโลก รวมทั้งพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษด้วย และเมื่อทำงานครบตามกำหนดแล้ว วีซ่า J1 ที่ขอไป เขาก็จะอนุญาตให้เราท่องเที่ยวอยู่ในประเทศต่อได้อีก 1 เดือน 4 เดือนโดยมีค่าใช้จ่ายรวมค่าตั๋วเครื่องบินเบ็ดเสร็จแล้วประมาณ 100,000 บาทจะว่าไปก็ไม่มากไม่น้อยไปเลยสำหรับประสบการณ์ที่ฉันได้รับกลับมา ทั้งสุข สนุก เศร้าเหงา มีครบทุกอารมณ์เลยค่ะ
งานที่ฉันไปทำก็คื งาน Housekeeping หรือที่คนแถวบ้านฉันเรียกว่าเป็น “แม่บ้าน” นั่นแหละค่ะ ซึ่งโรงแรมที่ทำงานชื่อว่า The Westin Ka’anapali Ocean resort villas ตั้งอยู่ที่หาด Ka’anapaili เกาะเมาอิ (Maui) ของรัฐฮาวาย ที่ครั้งหนึ่งเคยขึ้นชื่อว่าเป็นชายหาดที่ดีที่สุดในอเมริกา เต็มไปด้วยโรงแรมหรูๆ ระดับ 5 ถึง 6 ดาวเลยที่เดียว
การไปทำงานแม่บ้านกับโครงการนี้นอกจากฉันแล้วก็ยัง มีเพื่อนๆ นักศึกาไทยจากทั่วประเทศอีก 7 คน โดยเราไปจริงๆ ก็แทบพูดไม่ออก เพราะทำแรกๆ มันเหนื่อยมาก อาจเกิดจากที่ฉันไม่เคยทำงานมาก่อน แต่ต่อมาฉันก็ทำคล่องและเก่งในที่สุด จนกระทั่งตอนหลังขอเขาทำเพิ่มเป็น 6 วันต่ออาทิตย์เลยค่ะ จากเดิมที่ทำแค่ 5 วัน
จะว่าไปแล้วการมาทำงานแม่บ้านที่นี่มันก็เหมือนมาออกกำลังการ ทำให้สุขภาพแข็งแรง แถมได้ลดความอ้วนไปในตัว ที่สำคัญคือได้เงินด้วย ค่าแรงที่นี่ถ้าเทียบกับรัฐอื่นๆ ในอเมริกา ก็ถือว่าเยอะ คือ 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อชัวโมง (ราว360 บาทต่อชั่วโมง) อาจจะเป็นเพราะค่าครองชีพที่ฮาวายสูงกว่ารัฐอื่นนั่นเอง ฉันเคยคุยกับแพขกที่มาจากแคลิฟอร์เนีย เขาบอกว่าของที่ฮาวายแพงกว่ารัฐเขาถึง 3 เท่า ก็เป็นที่เข้าได้นะคะว่าทำไมค่าแรงที่นี่ถึงเยอะ
สรุปแล้วเงินเดือนที่ฉันได้ ก็ตกเดือนละ 60,000 บาท หักภาษีไปเหลือราว 50,000 บาท อันนี้ไม่รวมทิปนะคะ แต่ 10 เหรียญต่อชั่วโมงนี่ถือว่าน้อยมากเลยนะคะ เพื่อนคนฮาวายที่ฉันรู้จัก บางคนเป็นแม่บ้านอยู่โรงแรมอื่นได้ถึง 17-25 ดอลลาร์สหรัฐต่อชั่วโมง 612-900 บาทต่อชั่วโมง) วัยรุ่นงางคนที่นี่ทำงานเป็นแม่บ้าน รวมๆ แล้วได้เงินเดือนเป็นแสนๆ เลย ซื้อบ้านซื้อรถคันได้ตั่งแต่อายุยังน้อยเลยละค่ะ
วันแรกที่ไปทำงาน เขาให้หนูไปเทรนกับ Training Manager ก่อน ฉันยังจำได้ไม่ลืมว่า วันแรกแค่ไปฟังและซ้อมปูเตียงเฉยๆ ก็เหนื่อยแทบขาดใจเขียวค่ะ เพราะฉันเพิ่งไปถึงและเจ็ทแล็กด้วย พอคนเทรนออกไปข้างนอก ฉันก็แอบงีบหลับตลอด จน Agency ที่พาไปเขากังวลกับฉันมากว่าฉันจะไปรอดมั้ย นึกแล้วก็ยังอดขำไม่ได้
ที่โรงแรม Westin ที่ฉันทำงานนี้เขาจะเน้นมากๆ ในเรื่องเตียง เพราะเขามี Signature Bed ของตัวเองที่เรียกว่า Heavenly Bed อารมณ์ประมาณว่า ต้องให้แขกนอนหลับแล้วเหมือนอยู่บนสวรรค์ดังนั้นงานจัดเตียงกับปูผ้าปูที่นอนจึงหนักสำหรับแม่บ้านมาก คือ ต้องปูกันถึง 10 ชั้นเลยที่เดียว ถ้าเป็นสมัยก่อนตอนไปเที่ยวนอนโรงแรมกับพ่อแม่ พอถึงเตียงก็กระโดดขึ้นนอนเลย ไม่เคยสนใจหรอกกว่าผ้าปูจะปูกี่ชั้น ปูยากขนาดไหน แต่เมือต้องมาปูเอง ได้ยินว่าต้องปู 10 ชั้นให้ผ้าตึงเป๊ะก็ลมแทบจับทีเดียว และนั่นคืองานแรกที่ฉันต้องทำ
อาทิตย์แรก Manager มาสอนให้ก่อน แถมให้การบ้านไปฝึกจำให้ได้ว่า ปูชั้นไหนใช้ผ้าอะไร และตามด้วยผ้าอะไร เสร็จแล้ววางหมอนแบบไหน ซึ่งพอฉันลองปูครั้งแรก ปรากฏว่าฉันกับเพื่อนๆ ใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมงในการปูเตียง แต่เวลาทำงานจริงๆ เขาให้เวลาแค่ 7 นาทีเท่านั้น พอกลับถึงที่พัก ทั้งๆ ที่เหนือยก็ยังต้องมานั่งดิวกับเพื่อนๆ อีกว่าเตรียงปูยังไง เพื่อไม่ให้โดนว่า พออาทิตย์ที่ 2 เขาก็ให้ฝึกทำงานกับแม่บ้านรุ่นพี่ท่ำเก่งแล้ว และเข้าอาทิตย์ที่ 3 เขาจึงให้เราลุยเดี่ยว
ในแต่ละวันจะต้องเข้าทำประมาณ 6-8 ห้องแล้วแต่ความยุ่งของโรงแรมและความสามารถของเรา ซึ่งทำไปสักพักหัวหน้าก็จะรู้ว่าเรามีความสามารถแค่ไหน เขาก็จะจัดห้องให้ตรงกับความสามารถเรา ถ้าคนเก่งๆ จะได้ห้อง Back to Back เยอะ หรือบางแก่แล้ว เขาก็จะให้แต่ Room Service
สำหรับฉันแล้วปกติจะได้แต่ Room Service 4 ห้อง Back to Back 2 ห้อง รวมเป็น 6 ห้อง เคยมีบางวันที่ฉันได้ทำ 10 ห้อง เพราะมันเป็นช่วงวันหยุด (วันชาติอเมริกา 4th of July) คนมาเที่ยวเยอะ แต่บางวันที่แค่ 2-3 ห้องแพราะคนน้อย
มาถึงเรื่องของบรรยากาศในฮาวายกันบ้าง ในความรู้สึกฉัน ฉันว่าคนฮาวายเป็นคนเฟรนด์ลี่มากๆ ถ้าเราคิดว่าคนไทยเฟรนด์ลี่แล้ว คนฮาวายเฟรนด์ลี่หนักมากจนคนไทยอายไปเลยค่ะ เพราะไม่ว่าเราจะเดินไปทางไหน จะมีคนทักทายพร้อมกับรอยยิ้มด้วยคำว่า Aloha ที่แปลว่า “สวัสดี” ในภาษาฮาวายอยู่ เช่น Mahalo ที่แปล่า “ขอบคุณ” หรือ Ohana แปลว่า “ครอบครัว” แต่ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครพูดภาษาฮาวายกันแล้วค่ะ
เกาะที่ฉันอยู่มีชื่อเสียงพอสมควร เรื่องสถานที่ท่องเที่ยว เช่น Road to Hana ซึ่งเป็นถนนสายยาวๆ คดเคี้ยวไปมา โดยระหว่างทางก็จะมีสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น หาดทรายคำ (Black Sand Beach) หาดทรายแดง (Red Sand Beach) ภูเขาไฟ (Haleakala Volcano) ป่าไผ่ (Bamboo Forest) ฯลฯ ซึ่งแถวป่าไผ่ก็มีต้นยูคาลิปตัสสายรุ้ง ที่ลำต้นมีสีเป็นสายรุ้งสวยงามมากๆ เกาะเมาอินี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่ฉันยังไม่ได้ไป คิดว่าหากมีโอกาสจะต้องกลับไปเที่ยวอีก และจะเที่ยวให้ครบ 7 เกาะของฮาวายเลยค่ะ
การไป Work and Travel USA ในครั้งนี้ของฉัน ถ้าไม่นับเรื่องประสบการณ์จาการเที่ยวและการทำงานแม่บ้านที่ได้ติดตัวมาจนทำให้ฉันเป็นคนมีระเบียบชึ้นแล้วแนยังได้ภาษาที่พูดคล่องขึ้นมาเป็นของแถม ซึ่งถ้าเทียบกับเงินค่าใช้จ่ายที่จ่ายไป 100,000 บาท นั้น แนว่าคุ้มสุดๆ ค่ะ เพราะเมื่อฉันมาหักลบกับเงินเดือนที่ได้ 3 เดือนแล้วเท่ากับว่า ฉันได้ไปฟรี แถมยังมีเงินเหลือเก็บกลับมา (ไว้สมทบจ่ายค่าเทอมที่มหาวิทยาลัย เทอมละ 80,100บาท) อีก 30,000 กว่าบาทแน่ะค่ะ
แบบนี้จะไม่คุ้มได้ยังไงละคะ
ญาดา/เพชรบุรี
รูปบรรยากาศ Work and Travel USA
สอบถามข้อมูลโครงการ Work and Travel USA 2017 ที่ 086-3201990


